
"แสงแดด..ศัตรูตัวร้ายของคลอลาเจน"
มันจะร้ายกาจแค่ไหนและมาเกี่ยวข้องกับคลอลาเจนใต้ผิวหนังของเราได้อย่างไร? แล้วมีเคล็ดลับอะไรบ้าง
ที่เราจะสามารถถนอมรักษาเจ้าคลอลาเจนให้อยู่ (ใต้ผิวหนัง) กับเราไปนานๆ ...
คุณสาวๆ ทราบกันหรือไม่ค่ะว่า นอกจากแสงแดดจะทำลายคลอลาเจนของเราแล้ว แสงแดดยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวของเราเกิดริ้วรอยได้ถึง 95% เชียวค่ะ ร้ายกาจ มั้ยล่ะ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าถ้าคุณไม่ทาครีมกันแดดก่อนออกไปทำธุระข้างนอก คุณก็จะได้ทั้งความหมองคล้ำ (รวมถึงกระหรือฝ้า) ริ้วรอย และคลอลาเจนที่ลดลงเรื่อยๆ เป็นของขวัญจากแสงแดดค่ะ!
แต่ก็ไม่ใช่ว่าแสงแดดจะมีแต่โทษอย่างเดียวนะคะ คุณสาวๆ ไม่ต้องกลัวจนถึงขนาดที่ไม่ยอมออกไปไหนตอนกลางวัน แค่เราป้องกันด้วยการทาครีมกันแดดและหลีกเลี่ยงที่จะโดนแดดจัดๆ หรือใช้อุปกรณ์ช่วยกันแดด เช่น ร่ม แว่นตากันแดด เป็นต้น เราก็สามารถถนอมผิวของเราได้มากโขแล้วค่ะ ข้อดีของแสงแดด (ขอกล่าวถึงซักนิดเดี๋ยวจะน้อยใจ) ก็มีเหมือนกันค่ะ คือ ใช้สังเคราะห์ วิตามินดี (CALCIFEROL หรือ ERGOSTEROL) ค่ะ วิตามินดีสำคัญต่อร่างกายอย่างไร ร่างกายใช้วิตามินดีเพื่อรักษาภาวะสมดุลของระดับแคลเซียมในเลือดและในกระดูก เมื่อร่างกายได้รับแสงแดด ร่างกายก็จะผลิตวิตามินดี สำหรับในกรณีที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีแดด ร่างกายจะหันไปดึงวิตามินดีจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปแทนค่ะ
กลับมาต่อเรื่องคลอลาเจนของเรากันดีกว่า.....
วิธีที่เราสามารถเอาคลอลาเจนเข้าสู่ผิวหนังในปัจจุบันมี 3 วิธีค่ะ 1) ฉีดเข้าไป 2) การทานในรูปแบบของอาหารเสริมต่างๆ เช่น เครื่องดื่มผสมคลอลาเจน หรืออาหารเสริมแบบเป็นเม็ด และ 3) การทา
วิธี ที่จะให้คลอลาเจนเข้าไปถึงผิวหนังชั้นในของเราได้ดีที่สุดคือ การฉีดค่ะ แต่วิธีนี้มีข้อเสียเรื่องค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ที่สำคัญคือถ้าหมอฝีมือไม่ดีพอ จะทำให้คลอลาเจนจับตัวกันเป็นก้อนใต้ผิวหนังของเราค่ะ และสุดท้ายคือ ไม่คงทนถาวร อายุของคลอลาเจนนั้นจะอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน (การสลายตัวอาจเร็วหรือนานกว่านี้ได้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหนังของแต่ละบุคคล ด้วยค่ะ) พูดง่ายๆ ก็คือ จะต้องฉีดซ้ำทุกๆ 3-6 เดือนค่ะ
วิธีที่ 2 การรับประทานอาหารเสริมคลอลาเจนต่างๆ ขอกล่าวถึงจำพวกของเครื่องดื่มผสมคลอลาเจนก่อนนะคะ พวกคลอลาเจนดริ๊งค์นี้จะมีส่วนผสมของคลอลาเจนในปริมาณที่น้อยมากๆ ค่ะ กล่าวคือ สิ่งที่คุณได้รับเข้าไปส่วนใหญ่แล้วจะเป็นน้ำตาลค่ะ และสำหรับในรูปของอาหารเสริมแบบเป็นเม็ดแบบเฉพาะเจาะจงเลยนั้น ระยะเวลาในการทานให้เกิดขึ้นผลจะต้องทานแบบสม่ำเสมออย่างต่ำ 6 เดือนขึ้นไปค่ะ จึงจะเริ่มเห็นผล แต่ต่อให้ทานสม่ำเสมออย่างไร สารอาหารเหล่านั้นก็ไม่สามารถส่งไปถึงผิวหนังของเราได้ เนื่องจากอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายได้ดูดซึมนำไปใช้หมดก่อนที่จะส่งไปถึงผิวหนังของเราได้
วิธีที่ 3 การทา เนื่องจากอนุพันธ์ของคลอลาเจนนั้นใหญ่เกินกว่าที่จะซึมสู่ผิวหนังของเราได้ มันจึงทำได้แค่ฉาบเคลือบผิวของเราไว้เท่านั้นค่ะ
ในที่นี้พริมจะขอกล่าวถึงวิธีการทาที่จะช่วยกระตุ้นให้ผิวหนังชั้นในกลับ มาสร้างผลิตคลอลาเจนได้ใหม่ ซึ่งตามความเห็นส่วนตัวของพริมแล้วมันเป็นวิธีที่ถนอมรักษาคลอลาเจนได้คงทน ยั่งยืนและปลอดภัยกว่า ที่สำคัญคือ สบายตังค์ในกระเป๋าด้วยค่ะ
ฮีโร่ที่พริมขอยกมากล่าวถึงวันนี้ก็คือ GHK Copper peptide ค่ะ ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายและเป็นอาหารผิวที่มีสรรพคุณที่เด่นมาก ตัวนึงในกลุ่ม 7 ประจัญบานพิทักษ์ผิว (จะกล่าวถึงในครั้งต่อไป)
หน้าที่หลักของค็อปเปอร์เป็ปไทด์นี้คือ ลำเลียงออกซิเจนไปสู่เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย และเป็นตัวเชื่อมระหว่างเซลล์ต่างๆ และกระตุ้นในเกิดปฏิกิริยาสันดาบกันได้ดีขึ้นค่ะ ผลลัพธ์ที่ได้คือ มีการสร้างเซลล์ใหม่และค่อยๆ กำจัดทำลายเซลล์เก่าที่เสียใช้การไม่ได้แล้วออกไป เป็ปไทด์ชนิดนี้ช่วยกระตุ้นให้ผิวหนังสร้างเนื้อเยื้อใหม่อยู่ตลอดเวลาและ สามารถทำให้ผิวหนังชั้นในกลับมาผลิตคลอลาเจนและอีลาสตินอีกครั้ง อีกทั้งยังช่วยลดอาการอักเสบและสมานให้แผลหายเร็วขึ้นอีกด้วย ประโยชน์จากการที่เนื้อเยื้อผิวหนังมีการสร้างใหม่อยู่ตลอดเวลาคือ ผิวพรรณขาวใสและลดอาการของสิวค่ะ
จากผลการวิจัยที่พริมได้ติดต่อเก็บข้อมูลมา เจ้าค็อปเปอร์เป็ปไทด์นี้เป็นสารที่อ่อนโอนต่อผิวหนัง จึงสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว และประสิทธิภาพของมันก็เหนือชั้นกว่าวิตามินซีอยู่มากโขเลยทีเดียว... ถ้าสาวๆ คนไหนกลายให้ผิวเต่งตึงอยู่กับคุณไปนานๆ ก็ลองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของค็อปเปอร์เป็ปไทด์มาทาดูนะคะ....

(ภาพตัวอย่างของกระบวนการทำของค็อปเปอร์เป็ปไทด์ค่ะ)
: Prim Sisters & Co.
|